ข่าวบอลไทย

เรอัล มาดริด "คิง ออฟ ยุโรป"

"ราชันชุดขาว" เรอัล มาดริด คว้าแชมป์ยูฟา แชมเปี้ยนส์ ลีกสมัยที่ 12 มากสุดในประวัติศาสตร์ พร้อมสถิติเป็นแชมป์แล้วป้องกันแชมป์ได้เป็นทีมแรกในยุคของบอลแชมเปี้ยนส์ ลีก

แต่เดิมถ้วยนี้มีชื่อว่ายูโรเปี้ยน คัพ นับจากปี 1992 เป็นต้นมา รูปแบบการแข่งขันเปลี่ยนแปลงไป จากระบบนอคเอาต์ มาเป็นรอบแบ่งกลุ่ม ทีมที่เข้าร่วมแข่งขันมีมากขึ้น ไม่ใช่จำกัดว่าต้องเป็นแชมป์ลีกเหมือนแต่ก่อ การเป็นแชมป์แล้วป้องกันแชมป์ได้จึงเป็นเรื่องยากมากขึ้น โดยครั้งล่าสุดในชื่อเดิมยูโรเปี้ยน คัพ นั้นเป็นเอซี มิลานของ อาร์ริโก ซาคคี ในช่วงปี 1989,90 ที่ได้แชมป์สองสมัยติด หลังจากนั้นก็ 27 ปี มีความพยายายามป้องกันแชมป์ให้ได้ แต่สุดท้ายคว้าน้ำเหล ไม่ว่าจะเป็น อาแจ็กซ์, ยูเวนตุส, แมนฯ ยูไนเต็ด จนกระทั่งถึงเรอัล มาดริด นี่แหละครั เกมนัดชิงเป็นเกมที่โค้ชไทยต้องศึกษาเลยครับ เพราะมันคือการต่อสู้กันด้วยศาสตร์ฟุตบอล หนึ่งทีมรับดีที่สุดในปีนี้ ยูเวนตุส เล่นไป 11 นัดในชปล. เสียไปแค่ 3 ลูกยังไม่แพ้ใครอีกต่างหาก เจอกับทีมรุกดีที่สุดในชปล. อย่างเรอัล มาดริด ที่ยิงไป 32 ลูก (ในลา ลีกายิงไป 106 ลูก รับดีสุดเจอรุกดีสุดว่ากันแบบนั้น โค้ชสองฝั่งวางแผนกันอย่างไร แก้เกมกันแบบไหนใน 90 นาท ก่อนแข่งคาดการณ์ว่ายูเว่น่าจะตั้งรับให้เหนียวแน่นในระบบ 3-4-3 ของพวกเขา ที่มี จิอันลุยจิ บุฟฟอน เฝ้าเสา, จอร์โจ คิเอลลินี่, เลโอนาร์โด โบนุชชี่ และ อันเดรีย บาร์ซายี่ คุมเกมรับ วิงแบ๊กสองข้าง ดาเนียล อัลเวส กับ อเล็กส์ ซานโดร กองกลาง เคดิร่า กับ ปายิช และหน้าสาม ดิบาล่า, อิกวาอิน และ มานด์ซูคิ ส่วนเรอัล มาดริด บุกตามสไตล์ 4-4-2 แบบไดมอนด์ ที่แดนกลางมี กาเซมิโร เป็นตัวรับ ส่วนตัวฟรีคือ ลูก้า โมดริช โดย โทนี่ โครส อยู่ฝั่งซ้าย อิสโก้ ฝั่งขวา โดยหน้าคู่ โรนัลโด้ กับ เบนเซม่า หลังสี่คนชุดขาประจำ รามอส, วาราน คู่เซนเตอร์แบก โดย มาร์เซโล่ กับ คาร์บาฆาล เป็นสองฟูลแบ๊ เล่นไปได้ 15 นาที...กลายเป็น ยูเวนตุส เล่นด้วยความมั่นใจ เปิดเกมรุก ขณะที่ เรอัล มาดริด ตั้งรับซะอย่างนั้น ยูเว่ ครองบอลมากกว่า สร้างโอกาสยิงได้ก่อน เกมดูดีมาก แต่อยู่ๆพอเสียบอลครั้งเดียวหน้าเขตโทษเรอัล มาดริด โดนสวนกลับมาด้านขวาของยูเว ที่ อัลเวส เสียตำแหน่ บอลผ่านมาถึง โรนัลโด้ และ คาร์บาฆาล เติมขึ้นทางขวาอีกฟากหนึ่งก่อนประสานงานกันจบที่ โรนัลโด ยิงเข้า นำก่อน 1-0 จากการบุกครั้งแรก....ได้ประตู และเป็นเกมโต้กลับ จากนั้นยูเว่ บุกคุมเกม จนตีเสมอจากลูกกลับหลังตวัดยิงของ มานด์ซูคิช ย้อยเสียบคานเข้าไป 1-1 และเกมเป็นของยูเว่สิ้นเชิงในครึ่งแร พอครึ่งหลัง...เปิดฉากมากลายเป็นเรอัล มาดริด บุกและคุมเกม ด้วยความแม่นยำในการให้บอล การหาช่องเข้าทำและการยิงประตูสำคัญ 2-1 จาก กาเซมิโร ยิงแฉลบเท้าของ เคดิร่า นาทีที่ 61 ตอนนั้นพยายามนวดยูเว่อยู่พักหนึ่งแล้วได้ประตูจากเกมที่เหนือกว่ อีกสามนาทีต่อมา...โรนัลโด้ แผงฤิทธิ์ ตวัดยิงเสาแรกจากการเปิดของ โมดริช เป็น 3-1 ในเวลา 65 นาท กลายเป็นบอลคนละชั้น......ไปทันท คำถามคือว่า...ทำไม ครึ่งแรก อัลเลกรี วางแผนมาเล่นเกมรุกใส่เรอัล มาดริด หรือเพราะ ซีดาน ถอนต่ำเพื่อให้ยูเวนตุสได้เล่นเกม ผมเองคิดว่า ซีดาน น่าจะลองเล่นแบบที่ตัวเองไม่ถนัดคือรับแล้วรอจังหวะสวน ซึ่งประตูแรกได้จากการสวนกลับ แต่พอโดนตีเสมอ 1-1 เกมเปลี่ยน พวกเขาเล่นไม่ค่อยดีเท่าไหร เหมือนผิดธรรมชาติ....จนหมดครึ่งแรกค่อยกลับมาบุกในต้นครึ่งหลังใช้เวลา 15 นาที จึงได้ประตู 2- ประเด็นคือ...เรอัล มาดริด ชุดนี้ของ ซีดาน เด็ดขาดเรื่องการจบสกอร์ ยิงเป็นเข้า จีจี้ บุฟฟ่อน ไม่ได้เซฟอะไรเลย... มันคือความแตกต่าง...และพอบอลนำ 3-1 รูปเกมจึงออกมาขาด...ครั้นจะบอกว่า ม้าลาย โงหัวไม่ขึ้น บอลคนละชั้น ผมคิดว่าแรงเกินไป ยกเครดิตให้ การเข้าทำของ เรอัล มาดริด มันจบได้เด็ดขา ทำให้เกมออกมาเหนือกว่าทันท แชมป์สมัยที่ 12 ครั้งนี้ยิ่งใหญ่สมฉายา "คิง ออฟ ยุโรป" โรนัลโด้ ดาวซัลโว ชปล. ปีนี้ 12 ประตู แซง ลิโอเนล เมสซี่ และเป็นแชมป์รายการนี้ 4 สมัย (ผี 1 เรอัล 3) ส่วนตัว ซีดาน 3 สมัยกับเรอัล มาดริด ล้วน บุฟฟ่อน ในวัย 39 ปี 4 เดือนยังไม่ได้แชมป์รายการนี้ซะที ก็ต้องรอต่อไ ความสำเร็จของเรอัล มาดริด ในปีนี้ทั้งแชมป์ลา ลีกา และ ชปล. ไม่มีเคล็ดลับอะไรมาก....การเล่นบอล ครองบอลด้วยความแม่นยำ และเกมรุกนั้นจบสกอร์อย่างเฉียบขาด ตรงเป็นตุง ไม่ใช้โอกาสเปลือง ทั้งลา ลีกา และชปล. กดไป 142 ประต เป็นทีมรุกของ ซีเนอดีน ซีดาน ที่ทำให้พวกเขาคว้าแชมป์ยุโรปอีกหนึ่งสมัยติดต่อกัน สมฉายาราชันยุโรปตัวจริงครั